bulibuli.work
สงขลา เป็นโรงเรียนหนึ่งที่ตัดสินใจนำโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อยมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการสอนปกติในชั้นเรียนอนุบาล – ป. 3 ทุกวันพุธ คุณครูมณฑา บูหัส ครูประจำชั้น ป. 1 โรงเรียนชุมชนวัดน้ำขาว กล่าวถึงความรู้สึกหลังจากจัดกิจกรรมให้นักเรียนว่า "เวลาเราเห็นเด็กตอบคำถามที่เราไม่คิดว่าเด็กจะคิดได้แบบนี้ เรานี่ว้าวหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง มันสะท้อนว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดนี่ได้ผล จนเด็กสามารถคิดหาคำตอบได้ตัวเอง" 4. ทำดีหรือไม่ดีอย่างไร ประเมินตนเองได้ผ่าน "ขวดน้ำ" จะดีกว่าไหมถ้านักเรียนได้เป็นคนประเมินการเรียนรู้ของตนเอง? โดยปกติครูจะเป็นคนคอยให้คะแนนนักเรียน ประเมินว่านักเรียนทำคะแนนและผลงานออกมาได้ดีหรือไม่เพียงฝ่ายเดียว แต่ที่โรงเรียนวัดกู่คำ (เมธาวิสัยคณาทร) อ. สันป่าตอง จ.
ปรับตารางเรียน เปลี่ยนวิธีสอน ด้วยการบูรณาการแบบ PBL ปัญหาใหญ่ของห้องเรียนไทย คือ "เวลา" และ "เนื้อหา" แม้หลายโรงเรียนจะพยายามปรับเปลี่ยนคุณภาพการเรียนการสอนให้ดีขึ้น แต่ก็ยังติดกับกรอบเดิม ๆ เรื่องที่จะต้องกำหนดสัดส่วนคาบเรียนและเนื้อหาในแต่ละสัปดาห์ ทำให้ไม่อาจขยับปรับเปลี่ยนได้มากนัก และด้วยหลักสูตรของแต่ละวิชาที่เขียนแยกกัน ทำให้ขาดการเชื่อมโยงความรู้เข้าด้วยกัน นักเรียนจึงไม่สามารถเรียนรู้แบบเกิดประโยชน์สูงสุด แนวทางแก้ปัญหาคือการปรับตารางเรียนและเนื้อหา ใช้ "สถานการณ์เดียวกัน" เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาทุกวิชาหลักพร้อมกัน หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จที่เกิดขึ้นคือ โรงเรียนบ้านห้วยปูลิง อ. อมก๋อย จ. เชียงใหม่ ที่ผนวกรายวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ใช้วิธีการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ Project-Based Learning (PBL) ให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง สร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง เปลี่ยนบทบาทครูจากผู้สอนหน้าชั้นเรียนตลอดคาบ เป็นผู้ดูแลกระบวนการ และผู้สร้าง "สถานการณ์" ให้นักเรียน อ. พวงชมพู เฮ็งประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยปูลิง กล่าวว่า โรงเรียนยังคงยืนพื้นด้วยวิชาหลัก คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ส่วนวิชาที่เหลือ ทั้ง วิทยาศาสตร์ การงานอาชีพและเทคโนโลยี (กอท. )
สะสมจากโครงการต่างๆ มาแลกเปลี่ยนกับผู้เข้าร่วมโครงการในรูปแบบนิทรรศการและสื่อที่เป็นเครื่องมือสำเร็จรูป เพื่อให้ครูนำกลับไปใช้ มีการสนับสนุนการสร้างเครือข่ายโดยให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการระดมความคิด และเชื่อมโยงปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละโรงเรียนอย่างเป็นระบบ จากการดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ที่มาร่วมกิจกรรมเริ่มต้นจากการศึกษาด้วยตัวเองก่อน แล้วนำมาแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างเสริมสุขภาพนักเรียน โดยนำไอเดียจากภาคีต่างๆ ของ สสส.
นวัตกรรม คศ - Google Drive
และหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือล้วนภาคภูมิใจ และอยากให้โรงเรียนทั่วประเทศนำไปปรับใช้กับนักเรียนของตนเอง เพื่อให้นักเรียนมีทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างครบถ้วน 129 0 Facebook icon Share to Facebook Twitter icon Share to Twitter LINE icon Share to Line
การสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับนักเรียนในโรงเรียนที่สำคัญมากสำหรับยุคที่ผู้คนทั้งโลกต้องหันมาใช้ชีวิตในแบบ "วิถีใหม่" คือการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ผู้สอนและผู้เรียนพร้อมเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ วรรณา เลิศวิจิตรจรัส ผู้สั่งสมประสบการณ์ด้านสุขภาพและการศึกษามายาวนานหันมาลงมือสร้างเครือข่ายสนับสนุนความรอบรู้ด้านสุขภาพนักเรียน "เราเริ่มต้นจากการถอดบทเรียนของโรงเรียนที่สามารถทำเรื่องส่งเสริมสุขภาพได้ดีและยั่งยืน ทั้งโรงเรียนที่ สสส. เข้าไปมีส่วนร่วม และโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพระดับเพชรซึ่งได้รับรางวัลจากกรมอนามัย เพื่อหาจุดร่วมว่าโรงเรียนกลุ่มนี้สามารถทำให้เด็กนักเรียนเกิดความรอบรู้ด้านสุขภาพขึ้นมาได้เพราะอะไร" วรรณา เลิศวิจิตรจรัส ความรอบรู้ด้านสุขภาพนักเรียน (Health Literacy) ที่เกิดขึ้นแบบมีประสิทธิภาพทั้งในโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชน ในเขตเมือง และชนบทนั้นมีจุดร่วมคือองค์ประกอบ 6 ด้าน ได้แก่ 1. มีเป้าหมายชัดเจน โดยผู้มีส่วนได้เสียกับเด็กนักเรียนทั้งหมด ตั้งแต่คณะกรรมการสถานศึกษา ไปจนถึงบุคลากรในโรงเรียนทุกตำแหน่งต้องมีเป้าหมายและนโยบายที่ชัดเจนว่าจะแก้ปัญหาอะไรร่วมกัน 2.
อยากสร้างกิจกรรมสนุก ๆ ในห้องเรียน แต่ยังไม่มีไอเดีย ทำอย่างไรดี? บทความนี้รวบรวม 5 กิจกรรมจาก 5 โรงเรียนในโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง (TSQP) ในความดูแลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ. ) ที่เน้นให้เด็กเกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Active learning) พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนด้วยความสนุก และถ้าเป็นรูปแบบของเครื่องมือหรือนวัตกรรม นักเรียนทุกคนจะต้องสามารถเข้าถึงได้เท่าเทียมกัน เพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในโรงเรียน กสศ. และ TSQP มุ่งหวังให้คุณครูจากโรงเรียนอื่น ๆ นำแนวทางจากกิจกรรมเหล่านี้ไปปรับใช้กับนักเรียนของตนเอง เพื่อร่วมสร้างห้องเรียนเสมอภาคไปด้วยกัน 1. "โรงเรียนไร้เสียงออด" ฝึกความรับผิดชอบของนักเรียน นักเรียนจะเข้าแถวและเข้าเรียนตรงเวลาได้หรือไม่ หากไม่มีเสียงออด? ปกติโรงเรียนทั่วไปจะใช้เสียงออดหรือเสียงระฆังเพื่อส่งสัญญาณให้นักเรียนรู้ตัวว่าต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่เคารพธงชาติ เข้าเรียน หมดคาบเรียน ไปจนถึงบอกเวลาเลิกเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รู้จักกรอบของเวลา รู้จักหน้าที่และระเบียบวินัย แต่ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จ. บุรีรัมย์ กลับมีความคิดแตกต่างออกไป โดยตั้งคำถามว่า จะดีกว่าหรือไม่ถ้าโรงเรียนเปลี่ยนจากการ "บังคับ" ไปเป็นการสอนให้เด็กรู้จัก "กำกับตนเอง" อ.
โดย จิตติมา กุลประเสริฐรัตน์ ( [email protected])